” ทำไมเลือกไปสิงคโปร์ “
24.10.2557
.
ง่ายๆ เลยนะ
.
ตอนนั้นเปิดเจอโปรของแอร์เอเชียไปกลับ สคป. ถูกดี สี่พันนิดๆ เลยจองกันแบบงงๆ จองกันตั้งแต่เดือนมีนาคม เดือนต่อมาก็หาที่พักสองคืนตกไปประมาณพันสี่ร้อยห้าสิบบาท เดือนต่อมาก็จองตั๋วไปกลับ กทม.-อุบล พันเก้านิดๆ ถัดไปก็จองตั๋ว The Moonlight Adventure 49 sgd จองตั๋วเข้า Universal Studito Singapore ประมาณ 79 sgd เดือนล่าสุดก่อนเดินทางเราจองโรงแรมที่ กทม. ประมาณ 600 บาท
เราค่อยๆ จ่ายไปทีละเดือนทำให้ไม่หนักมากนัก ราคารวมตกที่ประมาณไม่เกิน 12,000 บาท
วันนึง…เราเลยไปปรากฏหายที่ สคป. กัน
แลกเงินไปเป็นค่ากินค่าเดินทางที่ 25.82 บาทต่อ 1 sgd ฉันแลกไป 7,000 บาท เหลือกลับมา 2,000 บาท รวมทริปนี้ประมาณไม่เกิน 17,000 บาท รวมของฝากด้วยนะ ทริปนี้ไม่มีของฝากมากนักเพราะมันไม่มีอะไรจะซื้อจริงๆ อาหารการกินก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ของฝากก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เลยจัดมาแค่พวงกุญแจไม่กี่อัน เพราะมันธรรมดามากๆ แต่ก็ดีนะ…ประหยัดเงินดี ๕๕๕
สามวันสองคืนในสิงคโปร์เป็นอะไรที่ตื่นตาดีมาก เสียดายที่ไม่มีเวลาเดินเล่นที่ Chinatown เห็นในเน็ตมีที่เดินถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลย แต่เรามีเวลาแค่นี้ก็ต้องเลือกไปบางที่เท่านั้น เอาไว้โอกาสหน้า (ถ้ามีเงิน) คงได้กลับไปอีกแน่นอน
* sgd = Singapore dollars
” ไปไงมาไง “
เราจองตั๋วเครื่องบินไปกลับสิงคโปร์ด้วยราคาโปร์ของ air asia ไปกลับประมาณสี่พันกว่าบาท ตั๋วอุบลกรุงเทพไปกลับอีกประมาณพันเก้าร้อยนิดๆ ยังถือว่าแพงอยู่นะ แต่ด้วยความที่เราค่อยๆ ทยอยซื้อทีละเดือนทำให้เราจ่ายไม่หนัก สามารถจ่ายได้สบายๆ สมฐานะครูบ้านนอกจนๆ
บ่องตงๆ บินแอร์เอเชียเล้ว…เมาเครื่องบินอ่ะ
จริงๆ นะ ไม่รู้กัปปิตันขับยังไง นั่งทีไรเมาทุกที ต้องหาลูกอมมาอมไว้ตลอดเส้นทางการบิน เราบินไปอุบล 40-60 นาที บินไปสิงคโปร์ประมาณ 2.30 ชั่วโมง เมาครับทั่น แต่ก็ไม่มากมายอะไร พอได้หายใจหายคออยู่ ไม่เหมือนบินนกแอร์อันนั้นนั่งสบายๆ มาก มีขนมอีกต่างหาก แอร์เอเชียไม่มีอะไรแจกเลย low จริงๆ กิกิ
น้องแอร์ไฟลท์จากอุบลไป กทม. ทุ่มครึ่ง น้องๆ เริ่มเยินกันแล้ว หน้าตาไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่อาจเพราะเหนื่อยมาก ภาพข้างล่างนี้เป็นน้องแอร์ไฟลท์ที่ไปสิงคโปร์สายๆ หน่อย หน้าตายังสวยฟรุ้งฟริ๊งอยู่เบย แต่ไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่อาจเพราะหงุดหงินเด็กเป-รตสองคนที่เสียงดังตลอดเส้นทางการบิน พวกเราหงุดหงิดจะแย่แต่พ่อแม่เด็กนอนได้อย่างหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผู้ร่วมชะตากรรมทั้งลำต้องทนฟังเสียงลูกของท่าน (มารู้ทีหลังว่าเป็นเด็กฝรั่งผมเงิน) แถมตอนที่เครื่องบินกำลัง takeoff แล้วต้องตีวงเลี้ยว เครื่องจะเอียงก็มีเสียงเด็กน้อยไทยไร้เดียงสาตะโกนออกมาวว่า
“เครื่องจะตกแล้วแม่!”
“e dek pred!!!!!! ” (ผดส.ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน)
แล้วน้องยังพูดแบบนี้อีกสองสามครั้งโดยที่พ่อแม่ไม่ได้ห้ามอะไรเลย กรูยิ่งกลัวๆ อยู่ T___T แต่ก็ผ่านเหตุการณ์มาได้ด้วยดี ทุกคนสบายใจอาจเพราะได้แอบด่าเด็กและครอบครัวในใจไปแล้ว
จริงๆ เค้าไม่ให้ถ่ายภาพแอร์นินา อุ๊ย…พี่ขอโต๊ดดดดด
” ปอด..กรุงเทพ “
” บางกะเจ้า ”
“บางกะเจ้า หรือปอดกรุงเทพ เป็นพื้นที่รูปทรงกระเพาะหมูที่ยังคงความเขียวเอาไว้ได้อย่างมากมาย ภายในพื้นที่กระเพาะหมูอันนี้มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มีทางปั่นจักรยาน มีบ้านเรือนเก่าแก่ เหมาะกับการหนีจากเมืองกรุงมาสูดออกซิเจนให้ชุ่มปอด”
ไม่เคยบินเส้นทางนี้เลย ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ เคยเห็นภาพนี้ในอินเตอร์เน็ตเยอะมาก ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่ามันอยู่ตรงไหนหว่า ?
ภาพนี้ถ่ายได้ระหว่างเครื่องกำลังเลี้ยวตีวงเพื่อเข้าเส้นทางไปสิงคโปร์ ปีกเครื่องเอียงต่ำลงไป ฉันมองเห็นแล้วยกกล้องขึ้นยิงภาพนี้และได้ภาพไม่กี่ใบเพราะเครื่องบินเลยออกไปแล้ว
เป็นภาพประทับใจภาพหนึ่งในชีวิตฉัน
” ภาพที่ไม่อยากเห็น “
” ว่าด้วยเรื่อง…การเดินทาง “
เดินทางในสิงคโปร์มีหลายทางเลือกค่ะ รถบัส รถไฟใต้ดิน แต่คณะเราเลือกเดินทางด้วย T A X I ค่ะ เพราะคณะเรามี ๔ คน นั่งแท็กซี่ได้พอดีไม่เกิน (เค้ากำหนดให้นั่งไม่เกิน ๔ คนค่ะ) คิดดูว่าถ้านั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบินมาที่พักแถว Gaylung ประมาณคนละ 6 sgd (เงินไทยคูณ 26 เด้อ) ก็ประมาณ 24 sgd แต่ถ้านั่งแท็กซี่กลับที่พักบวกค่าเข้าเมืองประมาณ 3 sgd รวมประมาณ 20-25 sgd ราคาแทบไม่ต่างกันเลย แต่รถไฟใต้ดินจะโหดกว่าตรงที่ไม่รู้จะขึ้นสถานีไหน แถวเกลังมีสถานีตรงไหนก็ไม่รู้ แถมยังต้องแบกเป้ ลากกระเป๋ากันอีก คาดว่าน่าจะแย่ เลยนั่งแท็กซี่กันตลอดค่ะ สะดวกดี มีไกด์นั่งหน้า
วันแรกที่เรานั่งแท็กซี่จากสนามบินเข้าที่พัก จนท.เรียกรถให้เป็นแท็กซี่สีดำ ซึ่งต้องบวกเพิ่มอีก 5 sgd ค่ะ อันนี้มารู้ทีหลังว่า (รถดำคิดเงินเพิ่ม..ประมาณรถหรูกว่าปกตินั่นแหละ) ถึงเกลังแล้วยังพาเราขับรถหาที่พักกันอีกระยะ จนพบที่พักที่หลอกตาเรามาก เพราะตอนจองมันดูอลังการมากๆ แต่ความจริงยังกะบ้านคนแน่ะ (ข้างในไม่แย่นะ..สะดวกสบาย)
ค่าแท็กซี่รวมค่าบวกรถสีดำ ค่าเข้าเมืองบวกเพิ่มอีก 10 sgd รวมค่าแท็กซี่รอบนี้ 30 sgd พอดี โอเคน่า..หยวนๆ ดันขึ้นสีดำนี่นา ถ้าขึ้นปกติก็น่าจะประมาณ 20-25 sgd อ่ะนะ
หลังจากเข้าที่พักแล้วเราต้องรีบไปห้าง Suntec เพื่อรับตั๋ว The Moonlight Adventure ที่ต้องขึ้นรถตอนหกโมงเย็น เราก็อาศัยแท็กซี่จากที่พักไปอีก นั่งรถไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงละ รอบนี้ 7 sgd นิดๆ คือมิเตอร์ขึ้นที่ 5 sgd แต่พอลงรถเค้ากดอีกทีมัน 7 sgd กว่า คณะเราก็งงว่าบวกอะไรแว๊……เลยถามเค้าก็บอกว่า ที่สิงคโปร์ถ้าเข้าในพื้นที่ของ downtown ต้องมีค่าเข้าเมืองด้วยและบวกภาษีด้วย จึงต้องบวกเพิ่มครั้งละประมาณ 2-3 sgd เราก็เลยถึงบางอ้อ
ถ้าคณะคุณไปเที่ยวจำนวน 4 คน แบบคณะเราสี่สาวดาวเต้น การนั่งแท็กซี่เป็นทางเลือกที่ดีมากอีกทางนึงนะคะ เพราะหาร 4 ตลอด เราจะได้นั่งรถสบายไม่ต้องเดินทางไกลไปขึ้นรถไฟใต้ดิน แถมยังได้ไปตามเส้นทางใหม่ๆ อีกด้วยค่ะ
ปล. เล็งดีๆ อย่าขึ้นแท็กซี่สีโม่สีดำนะคะ เค้าบวกเพิ่ม 5 sgd
ปล.2 แท็กซี่และพลเมืองที่สิงคโปร์พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคนค่ะ ไม่ลำบากเลย (เรานี่แหละลำบาก)
” ฝรั่งนั่งหน้า “
มีฝรั่งนั่งข้างหน้าเลยมี foreground ตลอดการเดินทาง
แสงน้อย รถวิ่ง ดัน iso ซะสูงลิบ เอากล้องวางบนพนักเบาะแล้วรอกดชัตเตอร์ช่วงที่รถวิ่งใต้แสงไฟ แก้ขัดที่ไม่มีขาตั้งกล้อง
ระหว่างทัวร์ moonlight adventure in Singapore ที่เราซื้อตั๋วท่องเที่ยวบามค่ำคืนเอาไว้ที่ราคา 49 sgd (คูณ 26 เด้อ) เค้าพาเราชมเหมืองหลายที่มากๆ นั่งรถบัสเปิดประทุนชนิดที่หัวเหอปลิวไสวไปกับสายลม โชคดีที่มีฝรั่งหนั่งหน้าทำให้เราได้ถ่ายภาพแบบมี foreground ส่วนตัวตลอดเวลา ที่เหลือก็เพียงแค่รอเวลาให้รถผ่านจุดสวยๆ ของเมืองและจุดที่มีแสงไฟส่องน้องฝรั่งให้สว่างวาบ
” มุมแหงน “
S I N G A P O R E F L Y E R
มุมแหงนคอมองด้วยความอยากขึ้นมาก แต่ไม่ได้ซื้อตั๋วไว้เลยได้แต่มอง
แต่…มีหรือที่เราจะยอมปล่อยไป ก่อนกลับไทยเราเลยรีบแจ้นไปซื้อตั๋วขึ้นชมวิวมุมสูงซะเลย สนนราคาอยู่ที่ 33 sgd ต่อ 30 นาทีค่ะ บอกเลย..คุ้มสุดๆ ^^
Singapore Flyer ตั้งอยู่บริเวณริมปากอ่าวมาริน่า ด้วยความสูงเทียบเท่ากับอาคาร 42 ชั้น หรือ ประมาณ 165 เมตร ทำให้ชิงช้าสวรรค์ หรือ Singapore Flyer กลายเป็นชิงช้าสวรรค์ที่มีความสูงมากที่สุดในโลก Singapore Flyer ประกอบไปด้วยแคปซูลทั้งหมดจำนวน 28 แคปซูล และ ในแต่ละแคปซูลบรรจุนักท่องเที่ยวได้ 28 คน ซึ่งเลข 28 เป็นเลขทางฮวงจุ้ย อย่างที่หลายๆ คนทราบกันว่า คนจีนมองว่าเลข 8 คือเลขแห่งความเจริญรุ่ง ส่วนเลข 28 ก็หมายถึงเป็นการ Double ความเจริญรุ่งเรือง หรือ Double Prosperity ดังนั้นถ้าใครได้มีโอกาสขึ้น Singapore Flyer ก็จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเป็นสองเท่า
fuji xpro1+35mm. ดัน iso สูง ดึงเชือกคล้องคอให้ตึง แล้วกดซะ
ปล. เราเรียก Singapore Flyer ว่า London eyes ซะจนติดปาก – -“
เอาล่ะ…บ้านเมืองเค้าแบ่งเป็นโซนๆ โซนในเมือง donwtown จะมีสำนักงาน ตึกสูงๆ แหละเที่ยว แหล่งช็อปปิ้ง ถ้าเราพักนอกโซน downtown แล้วนั่งรถเข้ามาในโซนนี้จะเสียค่าเข้าเมือง 2-3 sgd ค่ะ
บ้านเมืองเค้าเรียงตัวกันเป็นระเบียบ สวยมากๆ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่แต่ละตึกปิดไฟแข่งความสวยงามกัน
มันงดงามจนไม่อยากกลับที่พักเลย บ้านนอกอย่างเราไม่ค่อยได้เห็นตึกสูงเมืองสวยเลยชอบใจใหญ่เลยค่ะ ^^
ในโซน downtown นี้ยังมีอีกหลายที่มากๆ ที่น่าจะเดินชม ตอนที่เราล่องเรือผ่านไปจะเห็นเลยว่าบ้านเมืองเค้าสวยงามมาก ผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรมตั้งแต่ อังกฤษ จีน อินเดีย อยู่ด้วยได้ได้อย่างลงตัว ไม่ต้องแปลกใจถ้าร้านนึงเป็นจีนและร้านข้างๆ จะเป็นอินเดีย แบบนี้จะเจอทั่วไปเลยค่ะ
ง่ายๆ เลยคนขับรถทัวร์ชมเมืองเป็นจีน คนขับเรือเป็นอินเดีย เจอแบบนี้เป็นเรื่องปกติมาก ในสิงคโปร์เลยมีทั้ง Chinatown และ Little India อยู่ด้วยกัน ทริปนี้เราไปที่ Chinatown แบบไม่ได้เดินชมเมืองทั่วนะคะ กะไปซื้อของกินของฝากเท่านั้น เวลาน้อยค่ะ ทำไงได้ครูยากจนนี่นา ตรงนี้เราได้หมูอบ หมูคลุก หมูอะไรไม่รู้ค่ะ อร่อยดีแต่ราคาแอบแรง
วางกล้องกับกรอบหน้าต่างเรือ speed 1/15 เพราะอยากให้ภาพชัด ดัน iso สูงหน่อย ไม่กลัวน๊อยซ์เพราะภาพเอามาลงเฟส ในอ่าวไม่มีคลื่นลมเลยทำให้ถ่ายภาพได้ง่าย
ไม่นิยมพกขาตั้งกล้องจึงต้องทำเช่นนี้แล .
” กิน กิน กิน “
ว่าด้วยเรื่องกินในสิงคโปร์ แบบว่า คำถามสุดฮอตที๋โดนถามมากที่สุดคือ
“ได้กินลอดช่องสิงคโปร์มั๊ย ??” – -”
จัดไป 1 ถ้วยค่ะ
จริงๆ ตรงนี้เค้าจัดเป็นโซนขายอาหารที่มีบรรยากาศจี๊น จีน ส่วนนี้ตั้งอยู่ใต้ชิงช้าสวรรค์ Singapore flyer นั่นเอง ตอนที่เราทัวร์ The Moonlight Adventure เค้าจะให้คูปองเรามา 5 sgd เอาไว้ทานข้าวเย็นที่นี่แหละ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้อ่านเรากลัวไม่มีข้าวทาน เลยทานที่ห้อง Suntec มาเรียบร้อย พอมาถึงที่นี่ไม่รู้จะกินอะไรเพราะอิ่มมากแล้ว เลยจัดอะไรเบาๆ เช่น…
ลอดช่องสิงคโปร์ เป็นต้น
ถามว่าอร่อยมั๊ย…
ช๊านตอบเลยว่า ม่ายยยยยยย !!!
ย้อนนนนนนกลับมาที่ห้าง Suntec จุดขึ้นรถของเรา สักหน่อย
ฉันอยากกิน “ข้าวมันไก่” มากกกก เพราะดูในเน็ตเห็นว่าที่นี่อร่อยเลยขอลองซักหน่อย ข้าวมันไก่สำหรับ 1 คน จะมีเหมือนเราคือ ข้าวมันไก่และซุป ราคา 6.5 sgd แต่ถ้าเซตสำหรับกิน 2 คนจะได้ราคม 12 sgd ฉันกับครูติ๊กเลยเลือกเซตสำหรับ 2 คน ประหยัดไปได้ 1 sgd แน่ะ
ข้าวมันไก่ที่นี่…ไก่อวบมากกกกกกกกกกก แถมให้เนื้อไก่เยอะจริงๆ กินกันเกือบไม่หมด อร่อยสมอยากจริงๆ ^^
ปล. ปกติฉันไม่ชอบกินข้าวมันไก่นะ แต่ดูภาพข้างล่างสิ..
แต่ที่น่าร้องไห้คือ ….
น้ำเปล่าที่นี่ขวดละ 1.5 sgd (ประมาณ 39 บาท) ขวดเท่า 5 บาทบ้านเราอ่ะ T__T เจ็บจิตจริงๆ พวกเราเลยแก้ปัญหาความยากจนนี้ด้วยการ พกขวดเปล่าแล้วไปกดน้ำฟรีกินตลอดการเดินทาง เพราะที่นี่จะมีก๊อกน้ำเปล่าให้ดื่มหลายจุดเลย
ปล. น้ำเปล่าราคาเท่ากับน้ำอัดลมเลย
เรื่องก๊อกน้ำนี้ฮาจริงๆ …
วันแรกที่มาถึงสนามบินเราลงจากเครื่องก็วิ่งเข้าห้องน้ำเลย ตอนนั้นทั้งปวดฉี่ทั้งหิวน้ำ O_O จะทำพร้อมกันก็ไม่ได้ เลยเลือกไปฉี่ก่อนแล้วออกมาดื่มน้ำฟรีหน้าห้องน้ำนี่แหละ แล้วไงทีนี้…ไม่เคยดื่มน้ำจากก๊อกกดดื่มเลย เอาปากจ่อๆ แล้วกดน้ำ ปรากฏว่า….ทายซิ กิกิ
ถูกต้องนะค๊าบบบบ…
น้ำไหลเป็นทางไปสู่แก้มได้อย่างหน้าตาเฉย 5555
อุตส่าห์พยายามเอาปากเล็งไว้แล้วนะ แต่ก็ยังพลาด ยังไม่พอ..ลองใหม่อีกที รอบนี้สบายแล้ว แม่นขึ้น สามารถดื่มน้ำจากก็อกได้สบายๆ อิอิ
ราคาอาหารที่นี่ค่อนข้างแพงสำหรับครูจนๆ แต่ไม่เจียมอย่างพวกเรา แต่ก็กินไม่เคยหมดซักทีเพราะอาหารใส่จานหรือชามหรือถ้วยใหญ่มากกกกก คือ ปริมาณสมราคาอ่ะค่ะ แบบกินคนเดียวไม่หมดอ่ะ
บางอย่างเราสั่งมาจานเดียวแล้วกินด้วยกันจะพอดี อย่างในรูปนี้ เห็นแบบนั้นจานใหญ่มากนะ
อาหารที่นี่จะมีแบบจีน แบบแขก แล้วแต่จะเลือกกิน เราเลือกแบบจีนมากกว่า ก็จะออกมันๆ รสชาติไม่จัดจ้านเท่าไหร่
ภาษาแถวบ้านก็ว่า..ไม่อร่อย นั่นเอง
ส่วนอาหารแบบแขกยังไม่กล้าลองค่ะ ใครไปลองก็มาเล่าให้ฟังด้วยเด้อ งานนี้ขอผ่านก่อน
ชามนี้เรียกอะไร…ฉันไม่รู้ ราคา 3 sgd (ประมาณ 75 บาท) เส้นเยอะมากกกกกก น่าจะหมี่ซัก 4 ก้อนได้ คือ มันเต็มถ้วยเลยอ่ะ เราไปกิน 3 คน สั่ง 3 ถ้วยด้วยความไม่รู้ว่ามันจะเยอะมากขนาดนี้ กินไม่หมดซักคนเลยอ่ะ กินเสร็จรีบชิ่งหนีเลยกลัวเจ๊เค้าจะด่า หาว่าของเค้าไม่อร่อย 555
มันอร่อยอยู่นะคะเจ๊ แต่เจ๊ให้หนูเยอะมากกกกก คือจริงๆ สั่งมาถ้วยเดียวกินกัน 3 คนจะพอดี
ก็หนูไม่รู้..นี่คะ